ความเหงานั้นมีตัวตน เธออยู่ข้างๆผมเนี่ยแหละ... - นิยาย ความเหงานั้นมีตัวตน เธออยู่ข้างๆผมเนี่ยแหละ... : Dek-D.com - Writer
×

    ความเหงานั้นมีตัวตน เธออยู่ข้างๆผมเนี่ยแหละ...

    คุณรู้สึกเหงาบ้างไหม? ผมเหงานะ... รู้แล้วเงียบไว้ด้วยล่ะ ผมไม่อยากให้เธอรู้... หน้าที่ของผมคือรับผิดชอบให้เธอมีความสุข... แม้ผมจะต้องเสียใจก็ตาม...

    ผู้เข้าชมรวม

    61

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    61

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  รักดราม่า
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  15 ต.ค. 56 / 00:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ฤดูหนาวมักจะแฝงไปด้วยความเหงา อย่างน้อยๆคนที่อยู่คนเดียวในช่วงนี้น่าจะเห็นด้วยกับผม

    ถึงจะไม่เข้าใจอารมณ์นี่สักเท่าไหร่ แต่ก็พอจะรู้ว่ามันคือความเหงา

    ถ้ามองจากมุมของคนนอกอาจจะคิดว่าความเหงาเป็นเรื่องที่โหดร้าย แต่นั่นเพราะเขาแค่หันหลังกลับมามองความเหงาที่เคยเผชิญ ไม่มีทางหรอกที่ใครจะเกิดมาแล้วมีคู่เลย ทุกคนต้องเคยเหงา เชื่อสิ!

              แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันโหดร้ายหรอก ลองทำใจให้กล้า แล้วเผชิญหน้ากับมันดูสิ ความเหงานั้นมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก!

              แต่ก็เหงาอยู่ดี

     

              ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆแล้วถอนหายใจ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นผมเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มาดูชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอ แล้วถอนหายใจ

              “ครับ

              “นี่แม่เองนะ

              “ครับแม่

              “ปิดเทอมแล้วใช่ไหมจ้ะ?”

              “ก็ ครับ

              คิดว่าเดี๋ยวแม่คงต้องพูดอะไรที่ชวนเหนื่อยแน่ๆเลย

              “จะกลับบ้านเมื่อไหร่ดีล่ะ?”

              “เอ่อ สองสามวันนี้ต้องดูก่อนครับ ไม่แน่ว่าจะมีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่า”

              “อ้าว ลูกไม่กลับมาห้าปีแล้วนะนี่ไม่คิดถึงแม่บ้างเลยเหรอ

              ส่วนที่ผมจะบอกว่าเหนื่อยคือลูกงอนของแม่นี่แหละ คือ ผมก็ไม่ใช่เด็กดื้ออะไรแบบนั้น เลยรู้สึกผิดบ้างที่โดนพูดอะไรแบบนี้ใส่

              “ก็ ถ้าไม่มีก็ได้ไปแน่นอนครับ

              “ก็แบบนี้ทุกที ให้มันจริงเถอะ

              เหนื่อยกว่างอนคือประชด แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ สิ่งที่ผมมักจะทำเป็นประจำก็คือ

              “ครับ ครับ แม่ แค่นี้ก่อนนะ แบบว่า มีสายซ้อนน่ะ

              แล้วก็วางหู

             

     

              มันมีเหตุผลสนับสนุนเรื่องที่ผมไม่อยากกลับบ้านอยู่สองประเด็น ประเด็นแรกคือ ผมเบื่อบ้านเกิดนั่นแล้ว

              ที่จริงก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะ ออกจากชอบด้วยซ้ำ แต่ที่เกลียดจริงๆ น่าจะเป็นเพราะผมไม่ชอบที่อะไรมันค่อยๆเปลี่ยนไปมากกว่า เมืองเดิมๆมันก็ดีอยู่หรอก ทิวทัศน์เดิมๆ  ปั่นจักรยานกับกลุ่มเพื่อนๆในสมัยเด็ก เล่นอะไรแผลงๆอย่างสนุกสนานเฮฮาในสนามกว้างๆที่ยังไม่ได้ปลูกสร้างอะไร ปีนต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน หรือวิ่งไล่จับกันกลางถนน อย่างน้อยๆตอนนี้ขอแค่นั่งดูเด็กๆเล่นกันก็ได้

              แต่มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ ทุกอย่างค่อยๆเปลี่ยนไป ต้นไม้ที่เคยสูงใหญ่ถูกโค่นลง ถนนเล็กๆกลับมีรถวิ่งพล่าน กระทั่งสนามหญ้าว่างๆยังกลายเป็นตึกรามบ้านช่อง กระทั่งรั่วลวดขึงไม้ยังกลายเป็นรั้วเหล็กเสาคอนกรีต

              อาจจะเป็นอคติส่วนตัวก็ได้ แต่ผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงก็ทำให้รู้สึกเหงาได้เหมือนกัน

              ส่วนอีกประเด็นคือ รักแรกของผม

              จะเรียกว่าจบลงไม่สวย หรือไม่อาจจบลงได้ดีนะ?

              เด็กสาวที่เป็นรักแรกของผม จากมุมมองคนอื่นผมไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นเดียวกับผมไหม อันที่จริงตอนนี้ก็ไม่อาจถามความเห็นใครได้แล้ว เพราะเธอนั้นไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว

              เธอนั้นน่ารัก สุภาพ อ่อนหวานต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่มักจะแก่นกะโหลกต่อหน้าเพื่อนๆ แต่นิสัยของเธอไม่ได้เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกแต่อย่างใด จะบอกว่าเป็นเด็กที่รู้กาลเทศะดูจะดีกว่า

              อาจจะเพราะนิสัยแก่นกะโหลกของเธอ ทำให้ดูเหมือนจะมีความเป็นผู้นำ ถ้าให้พูดตอนนี้ ผมว่าเธอก็แค่ดื้อกว่าเด็กคนอื่นๆในละแวกใกล้เคียงมากกว่า

              เอาเป็นว่าเธอจากไปแล้ว ณ ตอนนี้

    ความทรงจำนั้นบางครั้งก็อยากจะเก็บไว้ บางครั้งก็อยากจะทิ้งไป แต่ก็สองจิตสองใจเหมือนกับการทิ้งของมีค่าที่ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ ผมเลือกที่จะวางมันไว้ที่บ้าน แล้วจากมายังที่แห่งนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมเลือกที่จะเข้ามาเรียนในเมือง

     

              เป็นเวลากว่าห้าปีที่ผมหนีออกมาจากความทรงจำที่ขมขื่น ผมเข้าเรียน ม.ปลายที่นี่ และเลือกจะต่อมหาลัยที่อยู่ใกล้ๆกัน

              ปีแรกที่เข้ามาเรียน ผมทำใจกับความเป็นตัวเมืองไม่ได้เท่าไหร่ ทั้งการเดินทาง ทั้งความแออัด และสภาพอากาศ ทำให้ปีแรกผมต้องกลับบ้าน

              กระนั้นจะเลือกอาศัยนอกตัวเมืองก็ลำบากเวลาเดินทางไปเรียน แต่ถ้าเลือกที่อยู่ใกล้มหาลัย ก็ลำบากเรื่องค่าใช้จ่ายอีก

              ไม่ใช่ว่าบ้านผมจน เลยลำบากเรื่องค่าใช้จ่ายนะ แต่เพราะผมหนีมาเรียนที่นี่ พ่อเลยไม่ให้ทางบ้านสนับสนุนค่าเล่าเรียนผม แต่ก็แอบโอนค่าใช้จ่ายต่างๆมาให้อยู่ประจำ ไม่เข้าใจตรงความปากไม่ตรงกับใจของพ่อเท่าไหร่

     

              “ที่บ้านหนาวแล้ว แต่ที่นี่ฝนยังตกอยู่เลยแฮะ

              ผมเปิดทีวีแล้วหย่อนตัวลงบนที่นอนพลางเปลี่ยนช่องหาดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย ฝนตกนี่ จะออกไปไหนทีก็ลำบาก แต่เสียงของฝนก็ยังเพราะกว่าเสียงต่างๆรอบห้องของผม

              อืม ข่าวพยากรณ์อากาศออกพอดี ดีเหมือนกัน จะได้รู้ว่าฝนจะตกไปถึงเมื่อไหร่ ผมวางรีโมทไว้ข้างตัวแล้วดูข่าวนั้นอย่างตั้งใจ

              “ด้วยฝนที่ตกติดต่อกันนานหลายสัปดาห์ ทำให้น้ำในเขื่อนสูงขึ้นจนเกินกว่าที่จะรับน้ำไว้ได้ จนต้องระบายน้ำออก ทำให้มวลน้ำขนาดใหญ่จากภาคเหนือไหลลงสู่ภาคกลาง และอาจจะส่งผลกระทบต่อตัวเมืองในเร็ววันนี้ ขอให้ประชาชนที่อยู่ในเขตต่อไปนี้ ขนของขึ้นที่สูงและกักตุนอาหารและเครื่องดื่มให้พร้อม

    ดูเหมือนว่าปีนี้ผมจะต้องกลับบ้านซะแล้วสิ

     

     

     

     

    การเดินทางสำหรับบางคนอาจจะเป็นเรื่องเพลิดเพลิน แต่สำหรับผม ก็มีแค่ช่วงนึงเท่านั้นแหละที่เพลิดเพลินไปกับมัน ช่วงที่นอนหลับนั่นแหละ

    เพราะใกล้ถึงสถานีปลายทาง รสบัสที่ผมนั่งมาจึงเปิดไฟปลุกผู้โดยสารให้ตื่นเพื่อตรวจเช็คสัมภาระ และเตรียมตัวที่จะลงจากรถ

    ผมเลือกที่จะออกเดินทางกลับบ้านในเวลากลางคืน ทำให้มาถึงที่นี่ค่อนข้างจะเช้ามืดเสียหน่อย ไม่แปลกใจเลยที่จะมองไม่เห็นทิวทัศน์รอบๆรถที่กำลังวิ่งอยู่เท่าไหร่ เพราะริมฝั่งถนนถูกบดบังด้วยหมอกจางๆสีขาว ราวกับม่านระบายถูกแขวนไว้สองฝั่งถนน ไฟกิ่งตรงเกาะกลางยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่เป็นอย่างดี แม้จะมีบางดวงที่สิ้นอายุไขไปแล้วก็ตาม

    “รับกาแฟ หรือน้ำชาอุ่นๆไหมคะ?”

    พนักงานเดินรถหน้าตาน่ารักเดินมาถึงผมตอนผมมัวมองข้างทางอยู่ เธอถือถาดใส่เครื่องดื่มพลางส่งยิ้มให้ผม

    “เอ่อ ขอเป็นกาแฟแล้วกันครับ

    รับกาแฟอุ่นๆมาดื่มตอนตื่น ไม่เลวเลยสำหรับตอนเช้า ที่แย่ก็แค่อาการปวดเมื่อยตามตัว

     

    เมื่อรถเข้าเทียบชานชะลา ผมไม่รอจะให้เวลานั้นเสียเปล่า รีบผลุดลุกแล้วก้าวเท้าไปยังทางลง ก่อนจะตรงไปยังจุดจอดรถแท็กซี่

     

    บ้านของผมไกลจากสถานีพอดู แม้จะไม่หวั่นเรื่องค่าโดยสาร แต่ผมก็ให้เขาหยุดก่อนถึงที่หมาย ผมตั้งใจจะเดินดูอะไรเรื่อยเปื่อยในเมืองที่ผมเติบโตมา

    อาจจะเพราะความคิดถึง หรือบรรยากาศพาไปก็ได้ แต่ตอนเช้าๆนี่ อะไรในเมืองมักจะเริ่มอย่างช้าๆ ชวนให้คิดถึงสมัยก่อนไม่น้อย ก็ไม่เลวเลยไม่ใช่เหรอ

    แม้จะแวะร้านกาแฟตอนเช้าบ้าง เจอกับป้าที่รู้จักกันมานานบ้าง ผมก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินไปเรื่อยๆ จนเท้ามาหยุดที่หน้าบ้านหลังนึง

    ความรู้สึกที่เวียนเข้ามา มีทั้งความเหงา ความเศร้า ความคิดถึง และความรักที่ผมเก็บไว้อย่างดีในส่วนลึกของจิตใจ ผมหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของเธอ เมย์ เด็กหญิงผู้เป็นรักแรกของผม

    “เอ่อ มาหาใครคะ?”

    เสียงทักดังขึ้นจากด้านหลังของผม ทำให้ผมตกใจเล็กน้อย ผมคงจะยืนขวางทางเข้าออกของเธอ

    ไม่ใช่เสียงที่คุ้นเคยหรือชวนให้นึกถึงเธอ ไม่ใช่เสียงของคนในครอบครัวของเธอที่ผมได้ยินเมื่อสมัยเด็ก ไม่ใช่เสียงคุณป้าที่คอยดุพวกเราเวลาที่แอบหนีไปเล่นซน ไม่ใช่เสียงของคุณแม่เธอที่ร้องไห้ ในวันที่เธอจากไป

    “เปล่า ครับ ขอโทษครับ ผมจำบ้านผิด

    ผมหลีกทางให้เธอ ก่อนจะเดินออกมา

    จำได้ว่าหลังจากที่เมย์จากไปได้ไม่กี่อาทิตย์ พวกเขาก็ย้ายออกไป บ้านของเธอ ได้กลายเป็นบ้านเปล่าๆ ผมแอบเข้าไปหลายครั้งที่บ้านหลังนั้น จนมีคนอื่นมาอาศัยอยู่แทน อาจจะเพราะผมยังคงรับไม่ได้ที่เธอหายไป จึงมีอยู่พักนึงที่ผมมักจะไปรอเธอที่หน้าบ้านหลังนั้น เหมือนตอนที่ผมเคยชวนเธอไปเล่นด้วยกัน

    “ไม่น่ากลับมาเลย

    คิดว่าทำใจไว้แล้ว แต่จริงๆผมก็ไม่ได้ทำใจกับมันเลย แค่ปล่อยมันไว้เฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไรกับมัน หันไปสนใจสิ่งอื่นๆแทนเสีย

    บ้านของผมอยู่ใกล้โรงเรียนประจำจังหวัดที่ผมจบออกมาสมัย ม.ต้น เรื่องราวที่ชวนให้คิดถึงมันไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เพราะความทรงจำดีๆของผม จบลงเมื่อช่วงนั้นแหละ

    “เฮ้อ

    ไม่รู้ว่าเหนื่อยกับอะไร แต่ผมก็ถอนหายใจออกมา อีกไม่กี่ก้าวผมก็จะถึงบ้านแล้ว แค่ไม่กี่ก้าว

    “เอก!!

    “เหวอ!!

    เสียงที่อยู่ในความทรงจำ ทำให้ผมถึงกับผวา เสียงใสๆของเด็กผู้หญิงที่ทำให้ผมตกใจ เสียงวิ่งของเด็กสาวที่ส่วนสูงไม่ห่างจากผมเท่าไหร่ เธอพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วจากหน้าเสาธงของโรงเรียนมาหาผมที่อยู่ตรงประตูทางเข้า

    “เอกจริงๆด้วย! หายไปตั้งหกปี นึกว่าจะไม่กลับมาแล้วซะอีก!

    เธอหยุดอยู่ตรงหน้าผม หน้าตามอมแมมบ้าง แต่เสื้อผ้านั้นยังคงสะอาดอยู่ เธอมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะยิ้มให้ผม

    “จำเราไม่ได้เหรอ ก็เล่นด้วยกันอยู่ตลอดนี่นา หรือเพราะเราโตขึ้น สวยขึ้น เลยจำไม่ได้?”

    “ก็ต้องจำได้อยู่แล้วสิ

    เธอยิ้มให้ผม ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้

    “เหอะ แค่หกปีเอง อย่ามาคุย

    ผมลูบหัวเธอ ก่อนเธอจะช้อนตาขึ้นมามองผมแล้วยิ้ม

    “คิดถึงนะ เอก

    คำพูดของเธอนั้นเปื้อนด้วยรอยยิ้มที่สดใส

    “กลับมาแล้ว เมย์

    คำพูดของผม เต็มไปด้วยน้ำตา ที่ได้แต่เก็บงำมันไว้ในใจ บดบังมันไว้ด้วยรอยยิ้ม

     

     

     

     

    เธอนั้นจากไปแล้ว แต่ไม่ได้จากผมไปไหน ตัวตนของเธอ ภาพของเธอ ยังคงชัดเจนในใจของผม... ทำไม ถึงมีแค่ผมนะ ทียังต้องเฝ้ามองเธออยู่ตลอด ทั้งที่ไม่สามารถรักเธอได้อีกต่อไปแล้ว เธอไม่ได้มีตัวตนอยู่ในสายตาใครเลย นอกจากผม

    ราวกับเธอเป็นตัวแทนของความเหงาที่ผมต้องทนอยู่ด้วยเสมอๆ เมื่อผมอยู่ที่นี่

     

    ไม่น่ากลับมาเลยจริงๆ

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น